สงกรานต์ในประเทศไทย

 

ที่มา

สุจิตต์ วงษ์เทศ สันนิษฐานว่า "สงกรานต์เป็นพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในอินเดีย เกี่ยวกับขึ้นศักราชใหม่ (ไม่ใช่ปีนักษัตร) เมื่อดวงอาทิตย์โคจรจากราศีมีนย้ายเข้าราศีเมษ เรียก มหาสงกรานต์ ในเดือนเมษายน (สุริยคติ)"[7] พระยาอนุมานราชธนสันนิษฐานว่า น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียตอนเหนือที่มีช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูฝน สิ้นฤดูหนาวที่ยาวนานและแห้งแล้ง ภูมิประเทศและอากาศสดชื่น เป็นฤดูแห่งความยินดีจึงมีนักขัตฤกษ์สงกรานต์ แม้ประเทศไทยจะไม่มีฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็อยู่ในช่วงว่างจากงานในนาในไร่ จึงถือเอาวันสงกรานต์เป็นการทำบุญใหญ่[8]

อยุธยา

ส.พลายน้อย ระบุว่าแรกเริมวันปีใหม่ของไทยคงจะถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย คือพ้นจากฤดูฝนมาฤดุหนาว การถือเดือนอ้ายเป็นเดือนขึ้นปีใหม่จะเลิกไปเมื่อใดไม่ทราบได้ แต่จากกฎมณเฑียรบาลที่ตั้งขึ้นเมื่อจุลศักราช 720 (พ.ศ. 1901) ก็ไม่ได้กําหนดเดือนอ้ายเป็นเดือนขึ้นปีใหม่แล้ว เพราะกําหนดไว้ว่า เดือน 4 คือพิธีสิ้นปี หมายถึงตรุษ และเดือน 5 การพระราชพิธีเผด็จศก ลดแจตร ออกสนาม ซึ่งหมายถึงขึ้นปีใหม่[9]

บันทึกของหมอแกมป์เฟอร์ซึ่งเดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2233 รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ได้จดบันทึกวันสงกรานต์ (Songkraen) ว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทย บันทึกดังกล่าวถูกแปลเป็นภาษาฮอลันดาสมัยศัตรวรรษที่ 17 โดย John Gaspar Scheuchzer ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2270 รัชกาลสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระว่า :-

"De Siamiten vieren den ecrſtcn en vyſtienden dag der maand, zynde de dagen der nieuwe en volle maan. Sommige gaan ook op den cerſtcn dag van de kwartier maanen na de Pagoden, 't welk eeniger maaten overeenkomt met onzen Zondag. Behalven deze hebben zy fommige jaarlykſche plechtige Feeſtdagen, by voorbeeld een in ’t begin van 't jaar, genaamt Sonkraen, ..."[10]

(คำแปล): "ทุก ๆ วันแรกและวันที่ ๑๕ ของเดือน ชาวไทยมีการสมโภชเพราะว่าเป็นวันดวงจันทร์แรกขึ้นและวันดวงจันทร์เพ็ญ บางคนก็ไปวัดทุก ๆ วันแรกของสัปดาห์ ซึ่งลงกันกับวันอาทิตย์ของเราอยู่บ้าง นอกจากนี้ ยังมีพิธีประจำปีอีกหลายอย่าง เช่น พิธีซึ่งทำเมื่อขึ้นปีใหม่ เรียกว่าสงกรานต์ (Songkraen) ..."[11]

— Engelbert Kaempfer, De beschryving van Japan (The History of Japan). (1727).

พระราชพงศาวดารว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเคยตรัสเมื่อได้ทราบข่าวพระเจ้าแปรยกทัพมาประชิดชายแดนไทยว่า "จะไปเล่นตรุษเมืองละแวก สิสงกรานต์ชิงมาก่อนเล่า จําจะยกออกไปเล่นสงกรานต์กับมอญให้สนุกก่อน"[9]

โคลงทวาทศมาส ซึ่งแต่งในสมัยรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ได้มีการแยกพระราชพิธีเผด็จศกออกเป็นอีกพิธีหนึ่งต่างหากแล้วเรียกเป็น พิธีตรุษ ต่อมา จากหลักฐานใน นิราศธารโศก ซึ่งแต่งในสมัยอยุธยาตอนปลาย พิธีตรุษ ได้ปรากฏชื่อเป็น การพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์

ใน คำให้การชาวกรุงเก่า มีการทำ พระราชพิธีละแลงสุก (เถลิงศก) ขึ้นแยกอีกต่างหากจากพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ โดยที่มีคำว่า สงกรานต์ (พระราชพิธีละแลงสุกเมื่อสงกรานต์)[12]

ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีบันทึกเกี่ยวกับพระราชประเพณีวันมหาสงกรานต์ วันเนา และวันเถลิงศก เช่น พระราชประเพณีก่อพระทรายและประดับตกแต่งพระทราย พระราชประเพณีถวายภัตราหารแด่พระสงฆ์ และมีพระราชประเพณีขบวนแห่พระทรายเข้าวัดพร้อมประโคมครื่องดุริยางค์ดนตรีซี่งเป็นโบราณราชประเพณีของพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยามาสืบมาแต่ก่อน ปรากฏในประชุมพงศาวดาร เรื่อง ก่อพระทรายครั้งรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศตอนปลายกรุงศรีอยุธยา ว่า :-

"อนึ่ง เมื่อครั้ง (แผ่นดิน) สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศนั้น ครั้นวันขึ้นปีใหม่โหรถวายฤกษ์เป็นวันมหาสงกรานต์ เจ้าพนักงานได้ก่อพระทรายหน้าพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์...และเครื่องราชวัติฉัตรธงเครื่องประดับพระทรายนั้น เจ้าพนักงานได้เบิกสิ่งของให้แก่ช่างเขียนทำ และพระทรายนั้นช่างเขียนได้ตัด [เขียนตัดเส้นระบายสี หรือตัดพระทรายให้เป็นรูปทรง] ครั้นรุ่งขึ้นเพลาเช้าวันมหาสงกรานต์ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมเสด็จไป ณ พระวิหารใหญ่ด้วย [พระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์ หลังกลาง] นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะอธิการวัด ได้ฉัน ณ พระวิหารใหญ่ฉลองพระทราย และที่พระ(ทราย)มหาธาตุและพระทรายบริวารนั้น วิเศษแต่งเทียนและบายศรี (มี) เทียนทองคำขวัญบูชาพระทรายองค์ละสำรับ"

"ครั้นเสร็จ (งาน) พระทรายที่วัดพระศรีสรรเพชญ์แล้วรุ่งขึ้นเป็นวันเนา เจ้าพนักงานจึงเอาทรายและเตียงเข้าไปให้ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทรงก่อพระทราย ณ พระที่นั่งทรงปืน...ทรงก่อแล้วพนักงานยกพระทรายออกให้ช่างเขียนตัด และเครื่องประดับพระทรายนั้นให้เจ้าพนักงานปิดทองอังกฤษประดับ และช่าง [ช่างเขียน] เขียนทำประดับประดาพระทราย แล้วยกเข้าไปตั้งไว้ ณ พระที่นั่งทรงปืน ครั้นรุ่งขึ้นเพลาเช้าวันเถลิงศก เสด็จ ฯ ออกฉลองพระเจดีย์ทราย เตียงยกพระที่นั่งทรงปืน พระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว เจ้าพนักงานยกพระทรายออกมาตั้งไว้ ณ ศาลาลูกขุนท้ายสระ พันพุฒ พันเทพราช พันจันท์ เกณฑ์เครื่องเล่นและคู่แห่เดินเท้าและม้า ปี่กลองชนะ ธงสามชาย ปีกลองมลายู ปี่กลองจีนแห่พระทรายไปไว้ ฯ วัดวรโพธิ์ วัดพระราม วัดมงคลบพิตร (เป็น) อย่างธรรมเนียมสืบมาแต่ก่อน (ดังนี้)"[13]

— เริ่มก่อพระทรายครั้งรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศตอนปลายกรุงศรีอยุธยาตามที่บันทึกไว้เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๒๖ ปีที่ ๒ ในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์, ประชุมพงศาวดาร เล่มที่ ๔๓ (ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๙-๗๐) เรื่องเกี่ยวกับกรุงเก่าตอนที่ ๑ เรื่องเมืองนครจำปาศักดิ์ และเรื่องขุนบรมราชา.

วันสงกรานต์ในปัจจุบันกำหนดไว้ 3 วันคือ 13 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เมษายน เป็นวันกลางเรียกว่าวันเนา และวันที่ 15 เป็นวันเถลิงศกซึ่งก็อาจเลยไปวันที่ 16 ก็ได้ แต่จากพงศาวดารกล่าวว่า "จุลศักราช 1129 ปีกุนนพศก ถึง ณ วันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือนห้าวันเนา สงกรานต์วันกลาง พม่าจุดเพลิงเผาฟืนสุมรากกําแพงแล้วยิงปืนใหญ่เข้ามาในกรุงพร้อมกันตั้งแต่เพลาบ่ายสามโมงเศษจนพลบค่ำ พอกําแพงทรุดก็พากันเอาบันไดพาดเข้ากรุง" วันที่พม่าเข้าเมืองคือวันเนา นักประวัติศาสตร์ว่าตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310



โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วอลเล่บอลหญิงไทย

อาหารขี้นชื่อในภาคอีสาน